home and garden

Thursday, April 29, 2010

ข้อคิดการปลูกต้นไม้บริเวณบ้าน

ในการที่เราจะมีบ้านอยู่อาศัยเป็นของตังเองซักหลัง ก็คงจะต้องมีการลงต้นไม้ในบริเวณบ้านไว้ มากน้อยก็แล้วแต่เนื่อที่จะอำนวย ผมอยากจะบอกเล่าจากประสบการณ์ของตัวเองในเรื่องการปลูกต้นไม้ จริงๆ แล้วเป็นเรื่องการเลือกต้นไม้ที่จะปลูกมากกว่า ซึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวเป็นหลัก ตัวผมเองชอบต้นไม้ยืนต้นมากกว่าพวกไม้ล้มลุกหรือไม้ประดับ เมื่อก่อนก็จะหาต้นซื้อเล็กๆ มาลงไปเรื่อย ไม่ได้วางแผนอะไร ซึ่งมันก็ดีไปอย่างที่ทำสบายๆ สมกับเป็นเรื่องของการพักผ่อนมากกว่าจะเป็นการทำงาน แต่พักหลังๆนี้เนื่องจากอายุมากขึ้น แก่ลง คิดว่าจะรอให้ต้นไม้โตได้ชื่นชมก็คงใช้เวลาเกือบ 10 ปี หรือบางต้น ก็กว่า 10ปี ก็คงจะผิดวัตถุประสงค์ที่ต้องการจะชื่นชมตอนมีชีวิตอยู่ มากกว่าจะมาสิงตามต้นหลังจากชีวิตหาไม่แล้ว ก็เลยใช้วิธีเลือกต้นไม้ที่มีอายุปลูกมาแล้วจนต้นโตท่วมหัวแล้วมาปลูก โดยเฉพาะชอบพวกไม้มีดอกที่มีกลิ่นหอมด้วย ยิ่งได้ต้นที่ออกดอกแล้วยิ่งเหมาะเลย แม้ว่าราคาจะหลายพันบาทแต่ก็คิดว่าคุ้มมากเลย กับการที่ได้ชื่นชมโดยทันทีไม่ต้องรอเวลา
ตัวผมนั้นชอบดอกราตรี ก็จะปลูกไว้ทางทิศเหนือ เพราะพอหน้าหนาวเวลาออกดอกก็จะได้กลิ่นโชยเข้าบ้านตอนดึกๆ โอ..มันช่างรันจวนไจดีจริง อันที่จริงก็คือมีความหลังกับดอกราตรีอยู่สมัยยังเป็นนักศึกษา กลิ่นที่ได้รับทางนาสิกนี่มันพาเรากลับไปสู่อดีตได้ทันทีและลึกซึ้งกว่าภาพที่เห็นหรือเสียงที่ได้ยิน หลักการก็คือต้องรู้ว่าดอกอะไรออกดอกช่วงไหนของปี ในช่วงนั้นมีลมพัดจากทิศทางไหน และเราต้องการที่รับกลิ่นดอกไม้นั้นจากห้องไหนในบ้าน หรือที่ระเบียงบ้าน เราก็จัดแจงปลูกต้นไม้ในทิศทางและตำแหน่งที่เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพปัจจัยต่างๆที่เกี่ยวข้องกัน เช่นดอกปีบออกดอกหน้าหนาวก็ปลูกไว้ทางทิศเหนือเพื่อรับกลิ่นที่จะถูกลมหนาวพัดมา ดอกบานเช้าก็ปลูกไว้ใกล้หน้าต่างห้องนอนซะ ตื่นเช้ามาจะได้สดชื่นกับกลิ่นหอมดอกไม้รับอรุณ ต้นไม้ที่สูงใหญ่ก็อย่าปลูกใกล้กับรั้วบ้าน อาจจะเป็นภาระให้ต้องตัดกิ่งที่ไปชนสายไฟหน้าบ้าน ต้นไม้ที่เป็นไม้เนื้ออ่อน กิ่งอาจหักโค่นได้ง่าย ควรหลีกเลี่ยงที่ปลูกไว้ใกล้ตัวบ้าน เช่น ต้นก้ามปูหรือจามจุรี ต้นตีนเป็ด ต้นมะม่วง เป็นต้น ต้นไม้ใหญ่ อย่าให้อยู่ใกล้ตัวบ้านหรือรั้วน้อยกว่า 3 เมตร เพราะรากที่แผ่ออกมาอาจทำอันตรายกับส่วนโครงสร้างของบ้านหรือรั้วได้ ต้นตีนตุ๊กแกก็ปลูกริมรั้วให้เกาะคลุมรั้วให้เขียวคลื้มได้เป็นอย่างธรรมชาติดีมาก แต่ต้องใช้เวลาซักหน่อย กว่าจะคลุมรั้วหมดเป็น 10 ปีได้เพราำะโตช้ามาก

Tuesday, April 27, 2010

ฤาจะหมดยุคของการสะสมทรัพย์สิน

สมัยที่ผมยังเป็นเด็ก เตี่ยผมมีอาชีพทำไร่มันสำปะหลัง เมื่อก่อนนั้นที่ดินสำหรับเพาะปลูกใช้วิธีการจับจอง หรือเข้าไปครอบครองทำกินได้เลย โดยจะเป็นการตกลงกันเองว่าที่ตรงนี้เป็นที่ของใครที่เป็นเจ้าของ หรืออาจมีการตกลงแลกเปลี่ยนซื้อขายกันในราคาถูกๆ มีอยู่แปลงหนึ่งเตี่ยผมได้มาโดยการเอาปืนยาวไปแลกเอา ได้มา 60 กว่าไร่ ก็เอามาไถปลูกมัน นอกจากนี้ก็มีที่ซื้อจากชาวบ้านบ้าง ก็ได้มาหลายแปลง รวมๆแล้วก็ เกือบพันไร่ การปลูกมันสำปะหลังนั้น ต้องอาศัยปลูกกันเป็นจำนวนมาก เพราะทำได้ปีละครั้ง ถ้าทำน้อยก็ไม่คุ้ม จึงต้องใช้พื้นที่มากๆ ใครไม่มีก็ใช้วิธีเช่าเอาจากชาวบ้านที่ไม่ปลูกเอง
ด้วยอาชีพที่เตี่ยผมทำนี่ ก็เลยเป็นเหตุให้ได้มี ที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ เป็นของตัวเองเยอะอยู่พอสมควร เตี่ยก็ได้ใช้ประกอบอาชีพชาวไร่มาจนตลอดชีวิต ครั้นท่านเสีย ที่ดินทรัพย์สินพวกนี้ก็ตกมายังรุ่นผม แรกๆ พี่ๆของผมก็ยังยึดอาชีพปลูกมัน กันต่อจากรุ่นเตี่ย แต่ก็ทำได้ไม่นาน ก็มาถึงยุดที่นายกชาติชาย เข้ามาบริหารประเทศ ซึ่งเป็นยุคทองของอสังหาริมทรัพย์ ราคาที่ดินพุ่งขึ้นอย่างมาก ก็เลยได้ตัดแบ่งที่ดินบางส่วนออกขาย ประมาณ ซัก 30-40% ของที่มีอยู่ ก็ได้เงินทองมาแบ่งกันไปใช้จ่าย นับเป็นมรดกก้อนโตที่เตี่ยทิ้งไว้ให้ ที่ที่เหลือลูกๆก็แบ่งกันไปตามส่วน ก็พอดีหมดยุคเฟื่องฟูของที่ดิน ราคาที่ดินก็ลดลงและขายไม่ดีอย่างแต่ก่อน ก็เลยปลูกยูคาทิ้งไว้บ้าง ให้คนเช่าปลูกมันบ้าง ก็กะไว้ว่าเก็บไว้ให้รุ่นลูกๆต่อไป ไม่ขายก็เก็บไว้ด้วยความเชื่อว่าราคามีแต่ขึ้นไปเรื่อยๆ ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร
คนมีเงินเก็บบางคนก็นิยมซื้อหาอสังหาริมทรัพย์เก็บไว้ด้วยความเชื่อว่ายังไงราคาก็มีแต่จะเพิ่ม ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไร และยังสามารถให้เช่าได้ค่าเช่ามาใช้จ่ายอีก ดีกว่าซื้อรถยนต์ซึ่งจะมีแต่ภาระตามมา
มาถึงยุคนี้ ยุคที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังชื่อ กรณ์ จาติกวณิช ก็มีการพยายามเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภาษี ผลักดันภาษีที่ดินและทรัพย์สินออกมา โดยหวังว่าจะมีเม็ดเงินภาษีเพิ่มขึ้นอีกถึงเกือบแสนล้านบาท ซึ่งมันก็สอดคล้องกับสภาพการคลังของไทย ณ.เวลานี้ ที่ย่ำแย่ และไหนยังจะภาวะเศรษฐกิจโลกที่เพิ่งเจอกับวิกฤตแฮมเบอเกอร์ ทำให้ต้องมีการกู้เงินจำนวนมหาศาลมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยโครงการไทยเข้มแข็ง เลยจำเป็นที่จะต้องหาทางเก็บภาษีให้ได้มากขึ้น มองไปมองมาก็มีตัวภาษีที่ดินนี่แหละที่จะเป็นตัวชูโรงหาเงินมาใช้หนี้ได้ บางคนก็เห็นดีด้วย ออกมาพูดสนับสนุน ว่าจะเป็นการกระจายที่ดินทรัพย์สินจากพวกแลนด์ลอร์ด ออกมา และว่าไม่กระทบต่อคนยากคนจน มันก็จริงบ้างบางส่วน แต่ความจริงแล้วพอตัวกฎหมายนี้ออกมากลับกลายเป็นว่าที่ที่ใช้ทำการเกษตรก็ต้องเสียภาษีเหมือนกัน 0.05% เอาละซิคราวนี้ผมเจอเต็มๆเลย จากที่กะไว้ว่ามีที่ดินเก็บเอาไว้ไม่เดือดร้อนอะไร ไม่มีค่าใช่จ่าย กะว่าจะอยู่อย่างพอเพียง ปลูกผักปลูกหญ้ายามเกษียร ให้ลูกหลานเลี้ยง มันก็ไม่ได้ละซิ ต้องหาทางทำประโยชน์จากที่ดิน หรือไม่ก็ขายไปซะ จะได้ไม่ต้องมานั่งหาเงินจ่ายภาษีทุกปี และมีแต่จะเพิ่มภาระไปเรื่อยๆเพราะราคาประเมินมันก็ขึ้นไปเรื่อยๆ มาคิดๆดูเราต้องหาเงินมาจ่ายภาษีตัวนี้ปีละแสนได้มั๊ง จะขายก็คงยากเพราะคงไม่มีใครอยากซื่อที่เก็บแทนฝากธนาคารแล้ว หรือไปซื้อทองก็ยังดีกว่า ตอนนี้เห็นแต่คนติดประกาศขายที่กันเต็มไปหมด หาคนซื้อก็ไม่มี
ตกลงเราไม่ส่งเสริมการใช้ชีวิตแบบพอเพียงกันแล้วนะ เราส่งเสริมให้คนขายที่ดินทรัพย์สินมรดก ต้องเอามาทำบ้านจัดสรรขาย ห้ามเก็บไว้ให้ลูกหลาน มีมรดกก็ต้องขายไปให้หมด แต่ก็อย่างว่าตอนนี้เห็นแต่คนจะขายทิ้งทั้งนั้น แล้วจะหาคนซื้อที่ไหนล่ะ

Saturday, April 17, 2010

งานแรก เมื่อ 25 ปี ที่แล้ว

หลังจากจบจาก มหาวิทยาลัยขอนแก่น คณะวิศวกรรมโยธา ก็พอดีช่วงนั้นเศรฐกิจไม่ดี ค่อนข้างหางานยาก แต่ก็ได้เข้าทำงานกับบริษัทน้ำมันแห่งหนึ่ง ในตำแหน่งวิศวกรสนาม งานแรกที่ถูกส่งไป ก็คือที่ปากพนัง นครศรีธรรมราช เป็นงานควบคุมการทำงานก่อสร้างภายในคลังน้ำมัน ไม่เคยได้ไปทางภาคใต้มาก่อน ก็ก่อนนั้นก็ใช้ชีวิตอยู่แถวภาคอิสาน แล้วไปไกลสุด ก็แถวกรุงเทพ พอได้มาอยู่ทางใต้ก็ได้เห็นฝนตก เกือบทุกวัน มันช่างผิดไปจากถิ่นที่เราจากมา ที่ซึ่งนานๆจะได้เห็นฝนตก นอกจากในหน้าฝนเท่านั้น การทำงานของผู้รับเหมาก็แสนยากลำบาก ยังคิดอยู่ในใจว่า เอ..เขาคงต้องขาดทุนแน่เลย ไหนจะฝนตกทุกวัน งานไม่คืบหน้า ไหนจะกฎระเบียบอันเข้มข้นของคลังน้ำมัน งานล่าช้าก็ต้องมีการคิดค่าปรับ ตามเวลาที่เลยจากสัญญา ไอ้เราก็เพิ่งจบใหม่ๆ ยังไม่มีประสบการณ์ในการทำงานมาก่อน ก็ได้แต่อาศัยเรียนรู้เอาจากแมนนวลของบริษัท จากรุ่นพี่ในที่ทำงาน และที่สำคัญก็จากผู้รับเหมาที่เรามาคุมเขานั่นแหละ งานที่ทำที่นี่ก็คือ ย้ายถังน้ำมันเก่าออกจากฐานเดิม ซึ่งทรุดเนื่องจากเดิมทำฐานรากไว้ไม่ดี ไม่มีเสาเข็มรองรับ หรือมีก็เป็นเสาไม้ซึ่งอาจจะผุพังไปตามกาลเวลาแล้ว การย้ายถังออก ก็เห็นเขาใช้วิธียกถังขึ้นวางบนรางเหล็ก โดยใช้แม่แรงหลายๆตัว วางไว้รอบถัง ค่อยๆยกขึ้น แล้วก็สอดรางรถไฟเข้าไปข้างไต้ ใช้ไม้หมอนรถไฟรองไว้ พอถังนั่งลงบนรางแล้วก็ใช้รอกผ่อนแรงดึงถังให้เคลื่อนไปตามราง จนพ้นแนวฐานรากเดิม หลังจากนั้นก็ทำการรื้อฐานรากถังอันเก่าออก สั่งเสาเข็มเข้ามาใช้ปั้นจั่นตอกปูพรม ไป เต็มฐานถัง จากนั้นก็หล่อคอนกรีตฐานถังตามแบบมาตรฐานของบริษัท เสร็จแล้วพอได้เวลาก็เคลื่อนถังน้ำมันกลับตำแหน่งเดิม มาวางตั้งบนฐานถังที่สร้างใหม่ ก็เป็นอันเสร็จงานส่วนใหญ่ไป งานก็ผ่านพ้นไปด้วยดี เกินเวลาบ้างแต่ก็มีเหตุผล เนื่องจากมีฝนตก ก็ต่อสัญญาให้ ก็ใช้ชีวิตอยู่ที่ปากพนังนี้ 2 เดือน เหงาเหมือนกัน แต่ก็ยังดีที่ นายคลังที่นี่พาท่องราตรีในตัวเมืองทุกคืน ตามภาษาคนทำงานไกลบ้าน นสยคลังก็บ้านอยู่กรุงเทพ มาประจำที่นี่ 3-4 ปีแล้ว เป็นคนร่าเริงใจดี เราก็เลยอยู่ได้สบาย ตอนเย็นเลิกงานก็ขึ้นแท็กซี่กลับเข้าโรงแรมในตัวเมืองนครฯ ราวๆสิบกว่ากิโล ไปอาบน้ำพักผ่อนหน่อย ซักพักทางนายคลังคนนี้ก็มารับไปกินข้าว แล้วก็ตระเวนไปที่สถานบันเทิง สมัยนั้นยังจำได้ เพลงพุ่มพวงกำลังดัง ไปนั่งที่ไหนก็มีแต่ กระแซะ กระแซะ เข้ามาซิ..

What a noisy fan?

Today I will tell how to install ceiling fan yourself. The most important thing is how to make it run quietly and smoothly.
Very easy! balancing all blades to the same level. How to balance the blade? After fixing the ceiling fan you must measure the distance between all blade and ceiling level. If they are not equal you just bend them to the same distance from ceiling.
That's all! Try it now with your noisy fan.

Thursday, April 15, 2010

Piling very easy.

This vdo show how we drive small pile in Bankok. No hammer machine needed. Amazing!!!


Foundation for your house



To construct a house in North-eastern part of Thailand (Esarn) usually we use spread foundation instead of piling as in Bangkok because in Esarn part soil in the level start from 2 meters is sand not clay. But some projects use 4-5 meters long concrete piles with solid square shape. For not higher than 2 stories house we use rectangular spread shape foundation size 1.50x1.50 meters. This footing can carry column weight  10-12 tons. To make the footing we excavate soil to the level 1.5-2.00 m. below original soil level. At this level we should see a hard sand-graveled layer that if tested by load bearing capacity test we will get the load bearing of 30 tons/sq.m.

Why some house use piling system instead.?

Most of people think that piling foundation is more expensive than spread one. To validate this I used to compare price of them and I found that piling footing is not cost higher than rafting footing and sometime it's cheaper! Because if you use only one pile for each footing so pile cap is just a small one sizing 0.6x0.6 m. It's mean less excavation , less concreting , less labor cost , and less time used. And now  pile cost is much lower than before because of higher technology used , higher efficiency in factory. What should be considered is how big working area you have to let hammer machine to mobilize and move around to drive piles. If you are in the very limited area and driving pile might damage adjacent building you have another choice by using bored pile which higher cost.

 

What to talk about.

First of all I have to introduce myself what I used to do before. I work as a civil engineer and have my own contractor company. My job mainly on housing design and construction.

Back to the old time after I finished B.eng in civil engineer div. I joined a big oil company in Bangkok and went around Thailand to manage construction sites. I did the job for more than 8 years and decided to have my own construction company to serve construction and designing work for the oil company. I managed the construction of oil tank facilities , depot constructions , filling gantry , depot offices , and many more with the oil company. Now I have changed from civil work to housing project at my home town because I want to work at my home town and stay with my family , no travel around the country any more. Work and live with family should be a happy life.  

This blog I will write about  how to do with your home and garden if some problems happen in your house. What to do if rain come from ceiling , crack in brick wall , water leak from tab , no ventilation in the house and etc., But I will also share my experience in working with the oil company and construction projects. I think it would be better if I I said that I would tell about my working life and just want to write something that make me remind my past time as an old man usually do. 

I will start by no any order priority but as what I think about at the time I write. You are welcome to share and raise any topic or questions in comment area.