Tuesday, April 27, 2010

ฤาจะหมดยุคของการสะสมทรัพย์สิน

สมัยที่ผมยังเป็นเด็ก เตี่ยผมมีอาชีพทำไร่มันสำปะหลัง เมื่อก่อนนั้นที่ดินสำหรับเพาะปลูกใช้วิธีการจับจอง หรือเข้าไปครอบครองทำกินได้เลย โดยจะเป็นการตกลงกันเองว่าที่ตรงนี้เป็นที่ของใครที่เป็นเจ้าของ หรืออาจมีการตกลงแลกเปลี่ยนซื้อขายกันในราคาถูกๆ มีอยู่แปลงหนึ่งเตี่ยผมได้มาโดยการเอาปืนยาวไปแลกเอา ได้มา 60 กว่าไร่ ก็เอามาไถปลูกมัน นอกจากนี้ก็มีที่ซื้อจากชาวบ้านบ้าง ก็ได้มาหลายแปลง รวมๆแล้วก็ เกือบพันไร่ การปลูกมันสำปะหลังนั้น ต้องอาศัยปลูกกันเป็นจำนวนมาก เพราะทำได้ปีละครั้ง ถ้าทำน้อยก็ไม่คุ้ม จึงต้องใช้พื้นที่มากๆ ใครไม่มีก็ใช้วิธีเช่าเอาจากชาวบ้านที่ไม่ปลูกเอง
ด้วยอาชีพที่เตี่ยผมทำนี่ ก็เลยเป็นเหตุให้ได้มี ที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ เป็นของตัวเองเยอะอยู่พอสมควร เตี่ยก็ได้ใช้ประกอบอาชีพชาวไร่มาจนตลอดชีวิต ครั้นท่านเสีย ที่ดินทรัพย์สินพวกนี้ก็ตกมายังรุ่นผม แรกๆ พี่ๆของผมก็ยังยึดอาชีพปลูกมัน กันต่อจากรุ่นเตี่ย แต่ก็ทำได้ไม่นาน ก็มาถึงยุดที่นายกชาติชาย เข้ามาบริหารประเทศ ซึ่งเป็นยุคทองของอสังหาริมทรัพย์ ราคาที่ดินพุ่งขึ้นอย่างมาก ก็เลยได้ตัดแบ่งที่ดินบางส่วนออกขาย ประมาณ ซัก 30-40% ของที่มีอยู่ ก็ได้เงินทองมาแบ่งกันไปใช้จ่าย นับเป็นมรดกก้อนโตที่เตี่ยทิ้งไว้ให้ ที่ที่เหลือลูกๆก็แบ่งกันไปตามส่วน ก็พอดีหมดยุคเฟื่องฟูของที่ดิน ราคาที่ดินก็ลดลงและขายไม่ดีอย่างแต่ก่อน ก็เลยปลูกยูคาทิ้งไว้บ้าง ให้คนเช่าปลูกมันบ้าง ก็กะไว้ว่าเก็บไว้ให้รุ่นลูกๆต่อไป ไม่ขายก็เก็บไว้ด้วยความเชื่อว่าราคามีแต่ขึ้นไปเรื่อยๆ ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร
คนมีเงินเก็บบางคนก็นิยมซื้อหาอสังหาริมทรัพย์เก็บไว้ด้วยความเชื่อว่ายังไงราคาก็มีแต่จะเพิ่ม ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไร และยังสามารถให้เช่าได้ค่าเช่ามาใช้จ่ายอีก ดีกว่าซื้อรถยนต์ซึ่งจะมีแต่ภาระตามมา
มาถึงยุคนี้ ยุคที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังชื่อ กรณ์ จาติกวณิช ก็มีการพยายามเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภาษี ผลักดันภาษีที่ดินและทรัพย์สินออกมา โดยหวังว่าจะมีเม็ดเงินภาษีเพิ่มขึ้นอีกถึงเกือบแสนล้านบาท ซึ่งมันก็สอดคล้องกับสภาพการคลังของไทย ณ.เวลานี้ ที่ย่ำแย่ และไหนยังจะภาวะเศรษฐกิจโลกที่เพิ่งเจอกับวิกฤตแฮมเบอเกอร์ ทำให้ต้องมีการกู้เงินจำนวนมหาศาลมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยโครงการไทยเข้มแข็ง เลยจำเป็นที่จะต้องหาทางเก็บภาษีให้ได้มากขึ้น มองไปมองมาก็มีตัวภาษีที่ดินนี่แหละที่จะเป็นตัวชูโรงหาเงินมาใช้หนี้ได้ บางคนก็เห็นดีด้วย ออกมาพูดสนับสนุน ว่าจะเป็นการกระจายที่ดินทรัพย์สินจากพวกแลนด์ลอร์ด ออกมา และว่าไม่กระทบต่อคนยากคนจน มันก็จริงบ้างบางส่วน แต่ความจริงแล้วพอตัวกฎหมายนี้ออกมากลับกลายเป็นว่าที่ที่ใช้ทำการเกษตรก็ต้องเสียภาษีเหมือนกัน 0.05% เอาละซิคราวนี้ผมเจอเต็มๆเลย จากที่กะไว้ว่ามีที่ดินเก็บเอาไว้ไม่เดือดร้อนอะไร ไม่มีค่าใช่จ่าย กะว่าจะอยู่อย่างพอเพียง ปลูกผักปลูกหญ้ายามเกษียร ให้ลูกหลานเลี้ยง มันก็ไม่ได้ละซิ ต้องหาทางทำประโยชน์จากที่ดิน หรือไม่ก็ขายไปซะ จะได้ไม่ต้องมานั่งหาเงินจ่ายภาษีทุกปี และมีแต่จะเพิ่มภาระไปเรื่อยๆเพราะราคาประเมินมันก็ขึ้นไปเรื่อยๆ มาคิดๆดูเราต้องหาเงินมาจ่ายภาษีตัวนี้ปีละแสนได้มั๊ง จะขายก็คงยากเพราะคงไม่มีใครอยากซื่อที่เก็บแทนฝากธนาคารแล้ว หรือไปซื้อทองก็ยังดีกว่า ตอนนี้เห็นแต่คนติดประกาศขายที่กันเต็มไปหมด หาคนซื้อก็ไม่มี
ตกลงเราไม่ส่งเสริมการใช้ชีวิตแบบพอเพียงกันแล้วนะ เราส่งเสริมให้คนขายที่ดินทรัพย์สินมรดก ต้องเอามาทำบ้านจัดสรรขาย ห้ามเก็บไว้ให้ลูกหลาน มีมรดกก็ต้องขายไปให้หมด แต่ก็อย่างว่าตอนนี้เห็นแต่คนจะขายทิ้งทั้งนั้น แล้วจะหาคนซื้อที่ไหนล่ะ

No comments:

Post a Comment